สิทธิื เสรีภาพ ประชาธิปไตย

"ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์จะดูดซับ รับรู้สิ่งรอบตัว แล้วประมวลผลสิ่งเหล่านั้นสะสมไว้ในมันสมอง ประสพการณ์ทั้งปวงนั้นจะเป็นฐานของคำสั่งการของมนุษย์ สมองจะทำงานอย่างอิสระ เสรีภาพ อัตโนมัติ
เพื่อให้ชีวิตคงอยู่ โดยมีอาหาร และการป้องกันภัย เป็นปัจจัยหลัก"
นี่คือหลักการและเหตุผลของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ชาติ
ข้อมูลเก่าในสมองจะถูกตัดทอนออกไปให้เกิดที่ว่างแล้วทับซ้อนด้วยข้อมูลใหม่ไม่หยุดยั้ง พฤติกรรมทำลายส่วนด้อยเลือกส่วนดีไว้เป็นหลักการของความจำที่ไม่มีวันเต็ม
พฤติกรรมมนุษย์ ถูกสั่งการและขับเคลื่อนด้วยจินตนาการที่เพริดแพร้ว หลากหลายด้วยทางเลือก วิวัฒนาการที่ล้ำหน้านี้ทำให้มนุษย์เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใดในโลก จำนวนประชากรมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นจากวิวัฒนาการนี้ ทำให้ห่วงโซ่อาหารของโลกขาดสมดุลย์ทางธรรมชาติ
มนุษย์เผ่าพันธุ์ที่เหนือธรรมชาติ บินได้เร็วกว่าเสียง อยู่ใต้น้ำได้นานเป็นแรมเดือน ฯลฯ ได้เปลี่ยนทุกสรรพสิ่งในโลกขึ้นมาใหม่ จากการอยู่รอดกลายเป็นอมตะ สร้างซ่อมแซมอวัยวะ และพันธุกรรม (สปีซีส์ โฮโม เซเปียนส์)
มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์เดียวที่ไม่สูญหายไปจากโลกนี้ เพื่อไม่ให้ประชาคมมนุษย์ที่มากมายมหาศาลสูญพันธุ์ มนุษย์ชาติได้สร้างกฎแห่งการอยู่ร่วมกันขึ้นมา เรียกระบบการปกครองนี้ว่า ระบอบประชาธิปไตย โดยคาดหวังว่าจะสามารถแก้ไขจากการแย่งชิง ไปเป็นการแบ่งปันกันอย่างที่เคยมีมาในอดีต วิวัฒนาการของมนุษย์ที่รวดเร็วเหนือความคาดหมายใดๆ ทำไห้เกิดอนิจจัง สิ่งที่ผิดพลาดในอดีตเมื่อทำซ้ำอีกกลับผิดยิ่งกว่า สิ่งที่เคยถูกต้องกลับกลายเป็นความเคลือบแคลงสงสัย
เมื่อการยอมรับอยู่เหนือการตัดสินผิดถูก การแบ่งปันห่วงใยจึงบังเกิด
ความจริงอันประเสริฐ คือสิ่งที่มนุษย์ยอมรับด้วยความยินดี ความจริง คือสิ่งที่มนุษย์ยอมรับ การฆ่าสัตว์เป็นความผิดแต่ มนุษย์ยอมรับกับการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารและยังคงมีความขัดแย้งอยู่ในจิตใจ ยอมรับด้วยความไม่ยินดี
มนุษย์ยอมรับด้วยความยินดีกับ ความจริงที่บันทึกไว้แล้วใน พระไตรปิฎก , พระคัมภีร์ไบเบิล , พระคำภีร์อัลคุรอาน ซึ่งมี พระสงฆ์แห่งพระพุทธเจ้า พระบุตรแห่งพระเจ้า ศาสนทูตแห่งพระอัลเลาะห์ ทั้งหลายนั้น ได้ถ่ายทอดความจริงอันประเสริษฐนี้ไว้แล้ว จากอดีต ที่แตกต่างด้วยเวลา ชนชาติ ภาษา สถานที่ ถึงวันนี้ความจริงอันประเสริฐไม่เปลี่ยน แก่นแท้ของความจริงอันประเสริฐคือ "ไม่ทำร้ายมนุษย์" มนุษย์จะใช้เป็นกฏข้อที่หนึ่งและยึดเป็นสัจจะ จักรวาลจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ชาติ

เมื่อการไม่ทำร้ายมนุษย์ เป็นสัจจะแห่งความจริงอันประเสริฐ ระบอบประชาธิปไตยจึงสมบูรณ์

วิวัฒนาการอันยาวนานได้เพื่มความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ จากอาหารและการป้องกันภัย เสริมเติมปัจจัยด้วยยาปฏิชีวนะ เสื้อผ้าแบรนด์เนม ยานพาหนะ อาคารสูง และที่สำคัญคือ "การเอาคุณค่าดีงามไปไว้ในกระดาษเบาบาง" ความอัศจรรย์ที่มาจากสมองมนุษย์สุดจะหยั่งคาดเดาได้
เพื่อให้ได้มาซึ่งสรรพสิ่งที่ต้องการ กับห่วงโซ่อาหารที่จำกัด ปริมาณมหาสารของมนุษย์บวกกับความต้องการที่ไม่รู้จักพอ การแข่งขันแย่งชิงจึงเกิดขึ้น แล้ววิวัฒนามาเป็นการต่อรองตีราคา เอาค่าของชีวิต แลกกับอาหารและปัจจัยที่ต้องการเพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์เอาไว้ มนุษย์ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก
พัฒนาการแบบขั้นบันได ได้เพิ่มอัตราเป็นก้าวกระโดด การแลกเปลี่ยนต้องกำหนดราคา เปลี่ยนคุณค่าเป็นราคาและจำนวนนับ มนุษย์จึงหวงแหนเงินตรามากกว่ามารดาที่ให้กำเนิด (คำเตือน ประโยคนี้อ่านผ่านไปเลยนะ อย่าย้อนมาอ่านหลายครั้ง มันสลดใจจริง ๆ) เทิดทูญอุดมการณ์ยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้า
เมื่อปัจจัยแห่งการดำรงค์เผ่าพันธุ์ได้กำหนดไว้เช่นนี้ การแย่งชิงความขัดแย้งจึงไม่หมดสิ้น เมื่อความจริงที่ได้บันทึกไว้ในคัมภึร์ ถูกเสริมแต่งเติมด้วยปัจจัยและการจำยอม พฤติกรรมการยอมรับด้วยความไม่ยินดี ความจริงที่มีเงื่อนงำผูกรัดไว้ด้วยหน้าที่ โดนบีบบังคับด้วย กฎเกณฑ์ สมองมนุษย์ที่ไม่หยุดนิ่งเกิดการโต้แย้ง แสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม ความดีกับไม่ดีกลับมาผสมผสานกันจนแยกไม่ออก (แต่ก็ยังไม่บ้าคลั่งนะ แค่ลังเลใจ)
สมองไฝ่ดีของมนุษย์บัดนี้เริ่มลังเล ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เหมือนถูกคลอบคลุมไว้ด้วยฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายไปทั่วในบรรยากาศ มองเห็นความจริงอันประเสริฐเพียงเลือนลาง

"เมื่อฝุ่นละอองที่คลอบคลุมฟุ้งกระจายเหล่านั้นเริ่มเบาบางลง ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจะกำเนิดขึ้นมา"
เดิมนั้นความจริงอันประเสริฐมีอยู่แล้ว ความรู้อันประเสริฐมนุษย์ก็ได้รับรู้แล้ว สมองไฝ่ดีมีอยู่ในมนุษย์แล้วเช่นกัน แต่กาลเวลาที่เนิ่นนาน วิวัฒนาการของมนุษย์ได้เปลี่ยนหลักการจดจำข้อมูลแบบเดิมจาก "พฤติกรรมทำลายส่วนด้อยเลือกส่วนดีไว้" มาเป็น"พฤติกรรมจดจำข้อมูลอันหลากหลายด้วยการจำแนกแยกประเภท" มนุษย์ใช้หลักการใหม่นี้เพื่อให้จดจำข้อมูลได้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อลดหน้าที่ของสมองส่วนประมวลผลและส่วนที่ใช้จินตนาการของตนลง ความเร็วของวิวัฒนาการที่ปรับระดับเป็นพุ่งทยาน มนุษย์จะให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพ ขื่นชมยินดีที่จะมีทรัพย์สินมาก ๆ โดยไม่ใส่ใจว่าทรัพย์สินส่วนเกินที่มีอยู่้และไม่ได้ใช้นั้นคือขยะที่สร้างปัญหาแก่ตนและสังคม ทำลายล้างสมดุลย์แห่งธรรมชาติ ทำลายความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
การจำแนกแยกประเภทนี้ได้เบี่ยงเบนจิตสำนึก ทำให้พฤติกรรมการกีดกันและการปฏิเสธเพิ่มมากขึ้น มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความขัดแย้งแยกแยะ ระแวงสงสัย รั้วกำแพงถูกสร้างให้สูงขึ้นเพื่อกีดกันตนเองจากคนอื่น ซึ่งแย้งกับลักษณะสัตว์สังคมของมนุษย์ หลักการจำแนกแยกประเภทถูกนำมาใช้อย่างหลงผิดนี้ทำให้มนุษย์สัมพันธ์ แปลเปลี่ยนเป็นความไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ร่วมเป็นสังคมเดียวกัน ต่อต้านซึ่งกันและกัน
พฤติกรรมเป็นความสำคัญอันดับแรกของมนุษย์ เพราะสามารถรับรู้ได้ง่ายจากมนุษย์ด้วยกัน เมื่อใดมนุษย์เกิดความรู้สึกว่าวิวัฒนาการของมนุษย์จะดำเนินไปในทางที่ไม่ดี นั่นหมายถึงฝุ่นละอองที่คลอบคลุมฟุ้งกระจายเหล่านั้นได้หายไปแล้ว มนุษย์ได้รับรู้ความจริงอันประเสริฐแล้ว "อรุณสวัสดิ์ที่รอคอยอย่างสงบในวันพรุ่งนี้จะดีร้ายอย่างไรนั้่น ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายที่กำลังนอนหลับในค่ำคืนนี้ว่า เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะแสดงพฤติกรรมอย่างไร"

สิทธิมนุษยชนจะทำให้สังคมที่มีคนจำนวนมากมายมหาสารอยู่ร่วมกันโดยสันติ

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) คือการประกาศเจตนารมณ์ในการร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความสำคัญในการวางกรอบเบื้องต้นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และเป็นเอกสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนฉบับแรก ซึ่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ให้การรับรองตามข้อมติที่ 217 A (III) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 โดยประเทศไทยออกเสียงสนับสนุน

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บันทึกของพ่อ

พ่อรักลูก "แน่นอนอยู่แล้ว" ลูกรักพ่อ "ใช่พ่อมั่นใจเสมอมา" ลูกทำดีเพื่อพ่อ "พ่อภูมิใจในตัวลูก" พ่อขอบอกความในใจที่พ่อต้องการจะบอกกับลูกเท่านั้นว่า "ลูกมีพลัง ลูกมีฝันที่จะเป็นอะไรก็ได้เมือลูกโตขึ้่น จงใช้พลังวิเศษในตัวลูก ทำให้ฝันของลูกสำเร็จเพื่อตัวของลูกเอง ลูกทำได้ พ่อเชื่อและมั่นใจเช่นนั้น" เมื่อลูกโตขึ้น พ่อขอให้ลูกถ่ายทอดข้อความเหล่านี้ ให้ลูกของลูกเท่านั้น.......พ่อ..รักลูกที่สุดในโลกนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น